พ่อเล่าเรื่อง ทำไมตื่นเช้า ไปแล้ว ทิ้งท้ายเป็นคำถามเหมือนจะโยนกลับมาให้ลูกคิดตอบว่า ทำไมเข้านอนดึก
จะด้วยนิสัย (พ่อใช้อีกคำ) หรือเพราะต้อง walk the talk ทำตัวเป็นแบบอย่างให้ลูกคิดดูก็ตาม พ่อออกจากบ้านไปทำงานก่อนลูกคิดตื่นทุกวัน เวลาประมาณตีห้าสี่สิบห้า (บางช่วงตีห้าครึ่งด้วยซ้ำ) พ่อทำงานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ นั่นหมายความว่า ในแต่ละสัปดาห์ 5 วันทำงาน ลูกคิดตื่นขึ้นมาจะไม่ได้เจอหน้าพ่อเลย
พ่ออยากให้ลูกคิดตื่นเช้า เห็นบอกแม่ว่าให้ปลุกลูกตื่นหกโมงถึงหกโมงครึ่งอย่าเกินนี้ (ซึ่งก็ไม่ทันพ่อออกไปทำงาน) และอยากให้ลูกเข้านอนตอนสองทุ่มหรือเต็มที่ไม่เกินสองทุ่มครึ่ง แต่รู้มั้ยคะว่าทุกวันทำงาน กว่าพ่อจะกลับถึงบ้านน้อยครั้งมากจะถึงก่อนสองทุ่มครึ่ง
นั่นหมายความว่า ถ้าลูกคิดเข้านอนตั้งแต่สองทุ่ม วันทำงาน 5 วัน ลูกคิดจะไม่ได้เจอหน้าพ่อเลย หนึ่งสัปดาห์พ่อลูกซึ่งอยู่บ้านเดียวกันจะได้เห็นหน้ากันแค่วันหยุดเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น เท่านั้นเองเหรอคะพ่อ
...
ตอนนี้ลูกคิดเริ่มติดนิสัย (ไม่รู้ดีหรือไม่ดี) อีกอย่างหนึ่งคือ จะต้องเห็นหน้าพ่อก่อนถึงจะทานข้าวมื้อเย็นได้ซะด้วย
Tuesday, January 18, 2011
Sunday, January 09, 2011
ต้นเหตุของความเสียใจ
ต้นเหตุของความเสียใจ
(ลูกคิดเสียใจจริงๆ นะคะแม่)
ก็คือความจริงที่สองเราไม่พูดกัน
(เพราะพูดกันที่ไรก็ "แม่ว่าหนู")
ไม่เคยจะมองตากัน
(มองตาแม่ทีไร แม่ก็ตาเขียวปั๊ดใส่ลูกคิดทุกที)
ได้แต่คิดและทำอะไรไปตามต้องการ โดยไม่สนใคร
(แม่ไม่เคยสนลูกคิด แม่ไม่เคยฟังลูกคิดเลย)
ต้นเหตุของรอยน้ำตา
(ใครดุใครว่าไม่สน แต่แม่แค่ล้อเล่นนิดเดียว บ่อน้ำตาแตกทุกครั้ง ร่ำไป)
ไม่เคยเยียวยารักษาด้วยความเข้าใจ
(หนึ่งเอาแต่ร้องไห้ หนึ่งก็เอาแต่ดุ ไฉนเลยจะเข้าใจกันได้)
มันเป็นเพราะความไม่รู้
(รู้ค่ะ รู้ว่า "แม่ว่าหนู")
ไม่เคยดูให้ลึกลงไปข้างในหัวใจ
(ร้องไห้จนน้ำท่วมตา จะลึกจะตื้น มองอะไรไม่เห็นแล้วละค่ะ)
ได้แต่ทนเก็บไว้ ผิดอะไรไม่เคยคิดถาม
(ไม่ทนแต่เก็บบ้างไม่เก็บบ้าง แล้วจะถามทำไมละคะ ก็ลูกคิดไม่ผิดนี่หน่า)
(ลูกคิดเสียใจจริงๆ นะคะแม่)
ก็คือความจริงที่สองเราไม่พูดกัน
(เพราะพูดกันที่ไรก็ "แม่ว่าหนู")
ไม่เคยจะมองตากัน
(มองตาแม่ทีไร แม่ก็ตาเขียวปั๊ดใส่ลูกคิดทุกที)
ได้แต่คิดและทำอะไรไปตามต้องการ โดยไม่สนใคร
(แม่ไม่เคยสนลูกคิด แม่ไม่เคยฟังลูกคิดเลย)
ต้นเหตุของรอยน้ำตา
(ใครดุใครว่าไม่สน แต่แม่แค่ล้อเล่นนิดเดียว บ่อน้ำตาแตกทุกครั้ง ร่ำไป)
ไม่เคยเยียวยารักษาด้วยความเข้าใจ
(หนึ่งเอาแต่ร้องไห้ หนึ่งก็เอาแต่ดุ ไฉนเลยจะเข้าใจกันได้)
มันเป็นเพราะความไม่รู้
(รู้ค่ะ รู้ว่า "แม่ว่าหนู")
ไม่เคยดูให้ลึกลงไปข้างในหัวใจ
(ร้องไห้จนน้ำท่วมตา จะลึกจะตื้น มองอะไรไม่เห็นแล้วละค่ะ)
ได้แต่ทนเก็บไว้ ผิดอะไรไม่เคยคิดถาม
(ไม่ทนแต่เก็บบ้างไม่เก็บบ้าง แล้วจะถามทำไมละคะ ก็ลูกคิดไม่ผิดนี่หน่า)
Monday, January 03, 2011
ลูกคิด คนปีชง 2554
ยายเล่าให้แม่ฟังว่าหมอดูซินแสแถวบ้านยาย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาขาประจำเรื่องดวงของยายและแม่ บอกว่าคนปีระกา เป็นหนึ่งใน "คนปีชง" สำหรับปีนักษัตร "ปีเถาะ" 2554 นี้ ซึ่งทั้งยาย พ่อ และลูกคิด ทั้งสามคนปีระกาเหมือนกัน
...
เมื่อสองวันก่อนไปนอนบ้านยาย ตอนบ่ายลูกคิดวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ล้มกลิ้งได้แผลแปะปาสเตอร์ที่ขามา 3 แห่ง แต่ทั้งพ่อแม่และยาย ไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องปีชง เพราะยังเป็นแค่แผลถลอกเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น น่าจะเป็นเรื่องความซนตามประสาเด็กๆ
...
แต่เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมานี้เอง ขี่จักรยานที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด ขี่อยู่ดีๆ ก็ล้มซะเฉยๆ อย่างนั้น แผลที่ได้คราวนี้ไม่เล็กแล้วค่ะ ถึงขนาดปากแตกเลือดไหลเยอะเลย (เพราะท่าล้ม ดันเอาปากไปจูบพื้น) พ่อตกใจ รีบอุ้มลูกคิดวิ่งจากสนามเด็กเล่นกลับเข้าบ้านอย่างด่วน
หลังจากเช็ดเลือด ล้างแผล (ด้วยน้ำเกลือ) ปลอบโยน และเมื่อดูด้วยสายตาแล้ว แม่บอกว่าโชคดีเป็นแผลถลอกแค่ริมฝีปากบน ส่วนข้างในปาก เหงือกและฟัน ไม่มีอะไรเสียหาย
อาบน้ำเสร็จ ครอบครัวเราพากันไปหาหมอที่โรงพยาบาลชลลดา เพื่อให้ได้ยาแก้อักเสบและยาทา อีกทั้งเพื่อให้หมอตรวจดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
อุบัติเหตุครั้งนี้ แม่เชื่อสนิทใจว่าเป็นเรื่องคนปีชงของลูกคิด ส่วนพ่อแม้จะไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ขัดอะไร ถ้าจะหาเวลาไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ตามที่ซินแสแนะนำ (สงสัยว่าแค่ไหว้พระ ๕ หรือ ๖ วัดคงจะไม่พอ)
...
เมื่อสองวันก่อนไปนอนบ้านยาย ตอนบ่ายลูกคิดวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ล้มกลิ้งได้แผลแปะปาสเตอร์ที่ขามา 3 แห่ง แต่ทั้งพ่อแม่และยาย ไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องปีชง เพราะยังเป็นแค่แผลถลอกเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น น่าจะเป็นเรื่องความซนตามประสาเด็กๆ
...
แต่เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมานี้เอง ขี่จักรยานที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด ขี่อยู่ดีๆ ก็ล้มซะเฉยๆ อย่างนั้น แผลที่ได้คราวนี้ไม่เล็กแล้วค่ะ ถึงขนาดปากแตกเลือดไหลเยอะเลย (เพราะท่าล้ม ดันเอาปากไปจูบพื้น) พ่อตกใจ รีบอุ้มลูกคิดวิ่งจากสนามเด็กเล่นกลับเข้าบ้านอย่างด่วน
หลังจากเช็ดเลือด ล้างแผล (ด้วยน้ำเกลือ) ปลอบโยน และเมื่อดูด้วยสายตาแล้ว แม่บอกว่าโชคดีเป็นแผลถลอกแค่ริมฝีปากบน ส่วนข้างในปาก เหงือกและฟัน ไม่มีอะไรเสียหาย
อาบน้ำเสร็จ ครอบครัวเราพากันไปหาหมอที่โรงพยาบาลชลลดา เพื่อให้ได้ยาแก้อักเสบและยาทา อีกทั้งเพื่อให้หมอตรวจดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
อุบัติเหตุครั้งนี้ แม่เชื่อสนิทใจว่าเป็นเรื่องคนปีชงของลูกคิด ส่วนพ่อแม้จะไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ขัดอะไร ถ้าจะหาเวลาไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ตามที่ซินแสแนะนำ (สงสัยว่าแค่ไหว้พระ ๕ หรือ ๖ วัดคงจะไม่พอ)
Sunday, January 02, 2011
เที่ยววัดม่วง จังหวัดอ่างทอง
เช้านี้ย่าโทรมาชวนพ่อแม่ไปเที่ยวที่วัดม่วง จังหวัดอ่างทอง เพื่อชมพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก และชมสิ่งก่อสร้างตระการตาต่างๆ มากมาย ลูกคิดยังอยู่ที่บ้านยาย ไปนอนค้างเป็นเพื่อนยายตั้งแต่เมื่อคืน พ่อแม่ไปรับแต่เช้า เอาปรอทมาวัดดูอาการด้วยว่าลูกคิดมีไข้รึเปล่า ถ้ามีไข้ก็อดไป แต่โชคดีเป็นของลูกคิด ได้ไปเที่ยวกับแก๊งอีกแล้ว
...
วัดม่วงเป็นวัดที่ตระการตาสมคำร่ำลือจริงๆ ละค่ะ นอกจากพระพุทธรูปองค์ใหญ่มหึมาแล้ว ยังมีวิหารแก้วที่สวยสดงดงาม พระอุโบสถล้อมรอบด้วยกำแพงรูปกลีบบัวสีชมพู (เหมือนโบสถ์อยู่ในดอกบัวดอกใหญ่) และที่โดนใจเล่นเอาลูกคิดถึงกับร้องไห้เสียน้ำตา (ด้วยความกลัว) ก็คือ รูปปั้นจำลอง แดนนรก ซึ่งมีทั้งเปรต และโทษทัณฑ์ต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คนทำความชั่วเมื่อตายแล้วตกนรก จะโดนลงโทษอย่างทุกข์ทรมานขนาดไหน
พวกเราไปถึงกันเกือบเที่ยงวันแล้ว คนเริ่มเยอะทยอยมากันอย่างไม่ขาดสาย ทั้งที่แดดหน้าหนาวก็แผดเผาซะขนาดนั้น ลูกคิดมีภาพบรรยากาศที่ถ่ายโดยพ่อมาให้ชมกันนิดหน่อยค่ะ
เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่แนะนำว่าหาโอกาสไปเที่ยวกันให้ได้นะคะ เค้าบอกว่าใครชอบถ่ายภาพ ไปช่วงเย็นบรรยากาศจะสวยมาก
ถ้าจะนับต่อเนื่องแบบข้ามวัน แต่ยังอยู่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ วัดม่วงถือว่าเป็นไหว้พระวัดที่ ๖ สำหรับลูกคิดก็ได้เหมือนกันมั้งคะ
...
วัดม่วงเป็นวัดที่ตระการตาสมคำร่ำลือจริงๆ ละค่ะ นอกจากพระพุทธรูปองค์ใหญ่มหึมาแล้ว ยังมีวิหารแก้วที่สวยสดงดงาม พระอุโบสถล้อมรอบด้วยกำแพงรูปกลีบบัวสีชมพู (เหมือนโบสถ์อยู่ในดอกบัวดอกใหญ่) และที่โดนใจเล่นเอาลูกคิดถึงกับร้องไห้เสียน้ำตา (ด้วยความกลัว) ก็คือ รูปปั้นจำลอง แดนนรก ซึ่งมีทั้งเปรต และโทษทัณฑ์ต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คนทำความชั่วเมื่อตายแล้วตกนรก จะโดนลงโทษอย่างทุกข์ทรมานขนาดไหน
พวกเราไปถึงกันเกือบเที่ยงวันแล้ว คนเริ่มเยอะทยอยมากันอย่างไม่ขาดสาย ทั้งที่แดดหน้าหนาวก็แผดเผาซะขนาดนั้น ลูกคิดมีภาพบรรยากาศที่ถ่ายโดยพ่อมาให้ชมกันนิดหน่อยค่ะ
เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่แนะนำว่าหาโอกาสไปเที่ยวกันให้ได้นะคะ เค้าบอกว่าใครชอบถ่ายภาพ ไปช่วงเย็นบรรยากาศจะสวยมาก
ถ้าจะนับต่อเนื่องแบบข้ามวัน แต่ยังอยู่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ วัดม่วงถือว่าเป็นไหว้พระวัดที่ ๖ สำหรับลูกคิดก็ได้เหมือนกันมั้งคะ
Subscribe to:
Posts (Atom)