Wednesday, January 30, 2008

พ่อไม่มี...ก็เป็นคนดีได้

เป็นเรียงความเรื่อง 'พ่อ' ที่ชนะเลิศการประกวดระดับ ม.ปลาย ของพี่เกศรา พันผูก ซึ่งพ่อคงอยากเก็บไว้ในห้ลูกคิดอ่านน่ะค่ะ เลยนำมาแปะไว้ที่นี่

พ่อไม่มี...ก็เป็นคนดีได้

คอลัมน์ ความเรียงเรื่อง พ่อ

ทุกสายตอบรับ รอยยิ้มที่แสนสดใสของฉันคงประทับใจ ความรู้สึกฉันเหมือนกับนางอัปสรที่กำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า หรือวิหคน้อยๆ ที่กำลังผกผินอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆที่เบาบาง ในความอ่อนช้อยความงดงามอร่ามตา ท่ามกลางเสียงดนตรีและเพลงร้องที่ประสานเสียงกันอย่างลงตัว เสียงนี้คงแว่วลอยไปไกลแสนไกล... ทรงธรรมทศพิธ ราชกิจประเพณี...ปกป้องประชาชี 60 ปีที่ผ่านมา...

นอกจากจะมีบทบาทเป็นนักเรียนคนหนึ่งของโรงเรียนพุทธิรังสีพิบูลแห่งนี้แล้ว ยังมีบทบาทหนึ่งที่สำคัญสำหรับฉันคือ เป็นนักเต้นที่เรียกกันว่า แดนเซอร์ แถมยังเป็นตัวแบบในการออกท่าทางเสียด้วย แต่ความแปลกใจก็คงหมดไปเมื่อทุกคนรู้จักฉัน จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ...ก็ตั้งแต่ลืมตาดูโลกฉันก็เกิดมาเป็นลูกหลานศิลปินเป็นลูกสาวตาโผ๋เจ้าของวงแดนเซอร์ซะแล้วค่ะ และด้วยชีวิตที่โลดแล่นลุ่มหลงเพลิดเพลินไปกับไฟแสงสีตามแบบฉบับของศิลปินส่วนใหญ่ จึงทำให้ชีวิตฉันขาดพ่อ มีแต่แม่เพียงผู้เดียว

ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ให้เรียกว่า พ่อ ฉันเองก็ไม่เคยเรียกร้องกับใครๆ ไม่มีพ่อก็ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอันใด คำว่าพ่อสัมผัสได้อยู่ในใจที่อบอุ่นของฉันเสมอ แม่สอนให้ฉันมีความรู้สึกที่ดีๆ ต่อพ่อตลอดเสมอมา แม่ดูแลฉันเป็นอย่างดีให้ความรักให้การศึกษา ฉันจึงสำนึกอยู่เสมอว่าชีวิตที่สวยงามของฉันวันนี้จะมีไม่ได้ ถ้าไม่มีพ่อที่สร้างฉันขึ้นมา เท่านี้ฉันก็ภาคภูมิใจเสียเหลือเกินแล้วค่ะ ฉันจึงพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ฉันรักพ่อค่ะ... และวันนี้นักเต้นแดนเซอร์อย่างฉันก็สามารถวาดลีลาท่าทางที่มีความหมายต่อคำว่า พ่อ ชุดสวยสีทองยาวกรุยกราย หมุนไปมาตามจังหวะลีลาของเพลง ทุกคนที่มาชมต่างตื่นตะลึง ถึงความยิ่งใหญ่อลังการขอคำร้อง ท่วงทำนองเพลง...ที่ทีมงานของฉันกำลังโชว์ลีลาด้วยเพลง ถวายราชสดุดี ของนักร้องที่ชื่อว่า ชินกร ไกรลาศ และเหตุนี้นี่เอง ที่บางครั้งฉันจะถูกเรียกว่า นักเรียนบ้าง นักร้องบ้าง นักเต้นบ้าง แต่...ฉันก็ภูมิใจกับชีวิตที่พ่อให้มา

ถึงแม้นฉันจะไม่มีพ่อเหมือนเพื่อนคนอื่น แต่ฉันก็สามารถรักพ่อได้ด้วยหัวใจและทำดีเพื่อพ่อได้ฉันไม่เคยเรียกร้องหา พ่อ หรือทำตัวให้เป็นเด็กมีปัญหาหรือเรียกร้องความสนใจใดๆ ชีวิตประจำวันไม่ว่าจะคิด จะทำ จะพูดจากอะไรก็ตาม ฉันจะพยายามทำสิ่งที่ดีๆ ต่อแม่เป็นทวีคูณ ก็ฉันเผื่อพ่อด้วยไงคะ การทำให้แม่สบายใจ ก็รู้สึกได้ว่าตอบแทนพระคุณพ่อด้วยเหมือนกัน โดยไม่ต้องทำตัวเป็นปัญหาสังคมอย่างเด็กส่วนใหญ่ที่เห็นในสมัยนี้ ชีวิตฉันแม้นบางครั้งออกจะเสี่ยง แต่ฉันจะพยายามตั้งใจ มุ่งมั่นฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางให้ได้เหมือนดังที่ฝันไว้ อนาคตฉันอยากเป็นสาวสวยอยู่บนเครื่องบินที่เรียกว่า แอร์โฮสเตส ซึ่งฉันจะต้องทำให้ได้ ไม่ให้ฝันค้างเหมือนกับชีวิตศิลปินที่เพียงวาดลวดลายอยู่แต่บนเวทีให้คนดูอยู่ร่ำไปอย่างเช่นทุกวันนี้

ฉันยกมือไหว้ตอบรับเสียงปรบมือที่แสดงความชื่นชอบเมื่อการแสดงจบลง เสียงนั้นยังดังก้องเข้ามาในโสตประสาทเป็นระยะ ฉันยิ้มด้วยความภูมิใจ การแสดงของฉันสามารถทำให้ผู้ชมระลึกถึงพ่อ เกิดความซาบซึ้งใจในพระคุณพ่อ ความคิดฉันยังโลดแล่นต่อไป... ไม่ว่าฉันจะมีบทบาทเป็นอะไรก็ตาม ฉันจะประกอบคุณงามความดี ทั้งทางกายวาจาใจ ถึงแม้ว่าจะไม่มีพ่อ...ฉันเป็นคนดีที่สมบูรณ์แบบได้ค่ะ

น.ส.เกศรา พันผูก ม.4 ร.ร.พุทธิรังสีพิบูล จ.ฉะเชิงเทรา

หน้า 27

คัดลอกจาก http://news.buddyjob.com

ที่มา: มติชน

Saturday, January 26, 2008

แม่เตรียมตัว ลูกจะไปโรงเรียน

"แม่กับพ่อไม่ต้องร้องไห้นะคะ ลูกคิดไปโรงเรียน เดี๋ยวตอนเย็นลูกคิดก็กลับมาหาแม่กับพ่อ"

อีก 2 เดือนลูกคิดก็จะได้ไปโรงเรียนแล้ว พักนี้พ่อกับแม่คุยกันบ่อย ตั้งคำถามว่า เอ! วันแรกลูกคิดจะร้องไห้มั้ยน้า ลูกคิดก็พูดแบบข้างบนนี้ทุกครั้ง

วันนี้ ลูกคิดมีคำแนะนำสำหรับแม่น้ำด้วยนะคะ ได้มาจาก Bloggang : YingLek ซึ่งนำมาจากหนังสือ เตรียมลูกเข้าโรงเรียนอนุบาล

วันแรกที่ไปโรงเรียน ถึงจะเตรียมตัวเตรียมใจมาดีเพียงใด เด็ก ๆ หลายคนก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้ หรือบางคนวันแรกอาจจะไม่ร้องเลย แต่ไปร้องเอาวันที่ 2 ก็มี แถมยังร้องต่อไปอีกเป็นอาทิตย์เลยทีเดียว

ไม่ว่าลูกจะร้องนานแค่ไหน หรืออิดออดอาละวาดไม่ยอมออกจากบ้านอย่างไร นักจิตวิทยาและนักการศึกษาล้วนบอกว่า ไม่ต้องกังวลใจ เพราะเป็นระยะของการปรับตัว ด้วยใจหนึ่งก็อยากออกจากบ้าน อยากมีเพื่อน แต่อีกใจหนึ่งก็กลัว เพราะต้องอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า ไม่อบอุ่นใกล้ชิดเหมือนอยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน ทั้งสองใจสองอารมณ์นี้จึงต้องต่อสู้กันเป็นธรรมดา และก็จะปรับตัวยอมรับการไปโรงเรียนได้ในที่สุด ซึ่งอย่างมากไม่เกิน 1 สัปดาห์ บางคนอาจจะช้าหรือเร็วกว่านี้ และขึ้นอยู่กับวิธีการรับมือของแม่ในวันแรก ๆ ที่ลูกไปโรงเรียนด้วยดังนี้

แม่ต้องเข้มแข็ง เด็กหลายคนเมื่อคุณแม่ส่งให้คุณครูแล้ว จะร้องไห้จนคุณแม่ตกใจ ใจคอไม่ดี เลยพาลร้องไห้ไปกับลูกเสียเลย ซึ่งถ้าลูกเห็ฯอย่างนี้จะยิ่งใจเสีย คิดไปได้ว่า โรงเรียนน่าจะต้องมีอะไรที่น่ากลัวแน่ แม่ถึงได้ร้องไห้ไปด้วย เพราะฉะนั้นคงต้องทำใจให้ดี ตั้งสติให้มั่นเวลาไปส่งลูก

อยู่กับลูกตามที่โรงเรียนอนุญาต
บางโรงเรียนจะมีวิธีรับเด็กเข้าโรงเรียนแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยให้เด็กปรับตัวได้ เช่น วันแรกให้พาเด็กไปสวัสดีคุณครูแล้วกลับบ้าน วันที่สองอยู่จนสวดมนต์เคารพธงชาติเสร็จโดยมีคุณพ่อหรือคุณแม่อยู่ด้วย วันที่สามอยู่จนดื่มนมตอนสาย ๆ เสร็จ วันที่สี่อยู่จนทานอาหารกลางวันเสร็จ หรือบางโรงเรียนอาจจะให้คุณพ่อคุณแม่เข้าไปอยู่ในห้องเรียนกับลูกทั้งวันเลยก็มี แต่ก็มีอีกหลายโรงเรียนขอให้แค่ส่งตอนเช้าก็พอ ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ก็ควรจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้โรงเรียนสามารถจัดการได้สะดวก

อย่าทิ้งลูก ถ้าโรงเรียนอนุญาตให้คุณแม่อยู่กับลูกได้ ควรอยู่ให้ตลอดช่วงเวลา และอย่างทิ้งลูกไปโดยไม่บอกกล่าวร่ำลา

รับให้เร็ว วันแรกที่ลูกไปโรงเรียน ควรรีบรับลูกให้ตรงเวลา หรือตามสัญญาที่ให้กับลูกไว้ เพราะลูกจะรู้สึกใจเสียที่ไม่เห็นพ่อแม่มารับในชณะที่เด็กคนอื่นๆ มีพ่อแม่มารับกลับไปจนเกือบหมดแล้ว ลูกอาจจะพาลคิดไปได้ว่า พ่อแม่จะไม่มารับอีกเลย จนมีผลให้ลูกไม่อยากไปโรงเรียนในวันต่อ ๆ มา

อย่าขู่ลูกเรื่องโรงเรียน หากลูกร้องไห้โยเย คุณแม่จะต้องระงับใจที่จะไม่ดุว่าทำโทษลูก และที่สำคัญ อย่าขู่ลูกว่า "ถ้าไม่หยุดร้อง จะปล่อยไว้ที่โรงเรียนเลย" เพราะนอกจากลูกจะไม่หยุดร้องแล้ว จะยิ่งตกใจ และเกลียดกลัวโรงเรียนไปด้วย

ยอมให้เอาหมอนเหม็น ๆ ไปด้วย เด็กในวัยนี้หลายคนจะมีของที่เขาติด เช่นผ้าห่ม หมอน ตุ๊กตา เอาไว้กอดเวลานอน กินนม หรือเมื่อไม่สบายใจ ดังนั้นจึงมีเด็กหลายคนที่ยืนยัน จะเอาสิ่งที่ตัวเองติดไปที่โรงเรียนด้วย เพราะถือเป็นสิ่งปลอบใจ ให้ความอุ่นใจ ยิ่งในวันที่ต้องไปโรงเรียนยิ่งต้องการมากเป็นพิเศษ คุณพ่อคุณแม่จึงควรอนุโลมให้ลูกเอาติดไปได้ในวันแรก ๆ ซึ่งคุณครูก็จะเข้าใจอยู่แล้ว หลังจากนั้นเมื่อลูกค่อย ๆ ปรับตัวได้จึงค่อยพูดคุยกับลูก

อย่าใจอ่อน เด็กบางคนร้องไห้สะอึกสะอื้นน่าสงสารอยู่หลายวันจนคุณแม่ใจอ่อน ให้หยุดบ้างให้ไปบ้าง ซึ่งไม่เป็นผลดีกับเด็กเพราะจะทำให้ระยะการปรับตัวยืดออกไปอีก คุณครูหลาย ๆ ท่านบอกว่า เด็กที่ร้องมากปรับตัวนาน ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กได้รับความอบอุ่นจากทางบ้านมาก มีคนเอาใจใส่เยอะ มาที่โรงเรียนจึงต้องร้องไห้มากเป็นธรรมดา เพราะถวิลหาความอบอุ่นที่บ้าน

อย่าหลงเชื่อข้ออ้าง พ่อแม่มักจะได้พบกับความฉลาดหลักแหลมปนความเจ้าเล่ห์ของลูก ในการสรรหาข้ออ้างเพื่อจะได้ไม่ต้องมาโรงเรียน ปวดหัว ปวดท้อง ปวดตา ปวดขา จึงควรตรวจตราให้แน่ใจว่าป่วยจริง เพราะถ้าหลงเชื่อทั้งที่ลูกไม่เป็นอะไร จะทำให้ลูกเรียนรู้การควบคุมผู้ใหญ่ด้วยวิธีนี้ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน

อดทนต่ออารมณ์ลูก ลูกอาจจะก้าวร้าว อาละวาดบ้างในวันแรก ๆ ทุกคนในบ้านโดยเฉพาะคุณแม่จึงต้องอดทน และเข้าใจความทุกข์ ความวิตกกังวลของลูก อย่าเกรี้ยวกราด ลงโทษ หรือแสดงอารมณ์โต้ตอบลูก

อย่าเซ้าซี้ลูก เมื่อกลับจากโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่มักจะพูดคุยกับลูกถึงเรื่องโรงเรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่เด็กบางคนอาจจะไม่อยากตอบไม่อยากเล่า เพราะรู้สึกยังทุกข์ใจอยู่ จึงไม่ควรไปเซ้าซี้ถามลูก รอเอาไว้ให้ลูกปรับตัวได้ สบายใจแล้ว จึงค่อยถามไถ่กันจะดีกว่า

ให้ความอบอุ่นใกล้ชิด มีหลายครอบครัวที่คุณพ่อหรือคุณแม่ลาหยุดพักร้อนในช่วงวันแรก ๆ ที่ลูกไปโรงเรียน เพื่อจะได้ไปรับไปส่งและอยู่กับลูกที่โรงเรียนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่งเพราะลูกจะรู้สึกอบอุ่นใจ นอกจากนั้นก็ควรสังเกตพฤติกรรมลูกด้วย เช่น อาจจะเครียดมาก นอนละเมอ ฝันร้าย ปัสสาวะรดที่นอนตอนกลางคืน หรือปัสสาวะราดในตอนกลางวันทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อนซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ถือว่าผิดปกติ น่าจะต้องรีบหาสาเหตุ เช่น ลูกยังเล็กเกินไปหรือเปล่า ครูเข้มงวดเกินไปไหม หรือวันแรก ๆ ก็เจอเพื่อนเกเรเข้าให้แล้ว

ลูกคิด LOMO

ภาพนี้ ลูกคิดโดนพ่อจับ LOMO ด้วย PhotoShop ค่ะ แปลกตา ได้อารมณ์ไปอีกแบบนะคะ



เครดิต: Photoshop Tutorial Diary

Thursday, January 24, 2008

ขึ้นปกนิตยสาร

ลูกคิดได้ขึ้นปกนิตยสารเป็นคนดังแล้ว(รึเปล่า)นะคะ



แนะนำโดยอานนท์ เพื่อนพ่อที่ทำงาน

Sunday, January 20, 2008

Driver-Captain-Rider

พ่อต้องซื้อของขวัญไปจับฉลากในงาน CAMP ที่บริษัท วันนี้ครอบครัวเราไปกันที่เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน แล้วก็เป็นครั้งแรกที่พ่อแม่ยอมควักกระเป๋า ให้ลูกคิดเล่นเครื่องเล่นเหมือนเด็กอื่นๆ (แม่เคยโดนตาทักว่า ทำไมไม่ให้ลูกเล่นเหมือนเด็กทั่วไปบ้าง) ที่จริงลูกคิดก็เคยบ้างเหมือนกันนะคะ ขึ้นไปนั่ง เก๊กท่าถ่ายรูป แต่ไม่ได้หยอดเหรียญ (ฮา)

วันนี้นอกจากที่ได้ ขับรถ ขับเรือ ขี่มอเตอร์ไซค์ แล้ว พ่อแม่ยังพาลูกคิดเข้าไปเดินสำรวจ สวนน้ำบนชั้น 6 อีกด้วย สระว่ายน้ำกว้างใหญ่น่าสนุกดีค่ะ แต่แม่ว่าน้ำมันดูไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ คงเพราะลูกค้าเยอะมาก ลูกคิดไปเล่นที่หมู่บ้านมณีรินทร์ หรือมณียาดีกว่า




มีอัลบั้มเต็ม อยู่ที่ multiply นะคะ

Saturday, January 12, 2008

วันเด็กแห่งชาติ ๒๕๕๑

เมื่อคืนนี้ สมาคมแม่บ้านย่านซอยห้า ในหมู่บ้านของลูกคิด ได้มีการจัดงานวันเด็กล่วงหน้า เพื่อให้เหล่าอนาคตของหมู่บ้านและของชาติ อย่างพวกเราได้สนุกสนาน รื่นเริงกัน หลังจากพลาดไป เมื่อตอนปีใหม่ -- ลูกคิดต้องขอขอบพระคุณอย่างสูง สำหรับความน่ารักและใจดี ของแม่ๆ ทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ..เอ้า! เด็กทุกคนกราบ "ขอบคุณครับ/ขอบคุณค่ะ"

โดยในงาน นอกจากเลี้ยงอาหาร เครื่องดื่ม และขนมแล้ว ยังมีของขวัญมากมาย มาให้เด็กสอยดาว มีเกมส์มาให้เล่นหลากหลาย แต่ไม่ได้ใช้เครื่องขยายเสียง หรือเปิดเพลงเต้นรำนะคะ ไม่มีอึกทึกครึกโครม (แม่บอกว่า ลำพังเสียงเด็กเจี๊ยวจ๊าวก็แย่แล้ว)




ส่วนวันเด็ก(จริง) ลูกคิดไปเที่ยวเซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ กับพี่ฟ้าและพี่ปลาดาว สนุกสุดเหวี่ยงเช่นกัน จนพ่อแม่หาว่า ลูกคิดต้องกินยาบ้าเข้าไปแน่ๆ (ขนาดนั้น) มีภาพบรรยากาศมาฝากกันเล็กน้อย (แวะชมฉบับเต็มที่ Multiply ได้ค่ะ)

อ้อ! พี่ฟ้าสมัครใจ ขึ้นเวทีแข่งขัน ฮูลาฮู้บ แถมเข้ารอบสุดท้ายอีกด้วย แต่โชคร้ายที่รอบสุดท้าย เขาให้แข่งเต้นรำตามจังหวะเพลงเด็ก พี่ฟ้าก็เลยสู้พี่อีกคน ที่(น่าจะ)เรียนเต้นรำไม่ได้ ได้ของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับมาเล็กน้อย -- พี่ฟ้าเก่งจังเลย!





ลูกคิดอยากให้ทุกๆ วันเป็นวันเด็กเหมือนกันหมดเลยได้มั้ยคะเนี่ย ชอบมากที่สุดเลย ขอบอก

Tuesday, January 08, 2008

เที่ยวที่ทำงานแม่

วันนี้ลูกคิดมีนัดฉีดวัคซีน ป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ เข็มที่ 2 ตามกำหนดอายุครบ 3 ขวบ ที่โรงพยาบาลนนทเวช (เจ้าเดิมเจ้าเดียว)

พ่อย้ำกับลูกคิดว่า ถ้าเป็นเด็กเก่งนะ ฉีดวัคซีนเค้าจะร้องแค่ "แอ๊ะ" เดียวเท่านั้น หรือถ้าจะร้องไห้เพราะเจ็บ ให้ร้องนิดเดียว ห้ามร้องนาน -- สรุปว่า ลูกคิดร้อง "แอ๊ะ" เดียวจริงๆ กับร้องไห้อีก 7-8 วินาที เองค่ะ

พ่อบอก อย่างนี้โอเคเลย ถือว่าเป็นเด็กเก่ง เคล็ดลับของพ่อกับแม่ คือ บอกพี่พยาบาลว่า อย่าชูเข็มฉีดยาให้ลูกคิดเห็นก่อนเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้น ร้องจ๊ากตั้งแต่ยังไม่โดนจิ้มแล้ว

หลังออกจากโรงพยาบาล พ่อก็ไปทำงานต่อ ส่วนแม่กับลูกคิดแวะไปเที่ยวที่ทำงานเดิมของแม่ แปซิฟิคอินเตอร์เน็ต แถวๆ แยกลาดพร้าว (แม่บอกว่า เคยพาลูกคิดมาครั้งหนึ่ง สมัยที่ลูกคิดยังเป็นเบบี๋อยู่เลย) - ลูกคิดสนุกสนานมากถึงมากที่สุดเลย กับเพื่อนที่ทำงานแม่ ลุง ป้า น้า อา เค้าใจดีกันทุกคนเลย โดยเฉพาะป้าเปีย (อดีตหัวหน้าแม่) ให้ลูกคิดทั้งร้องเพลง ทั้งเล่นเกมส์ ตอนกลับก็ยังลงมาส่ง แล้วก็แอบยัดแบ๊งค์ 500 ใส่กระเป๋าลูกคิดมาอีกต่างหาก "ขอบคุณมากนะคะป้าเปีย"

ลูกคิดสัญญาว่า ว่างๆ ถ้ามีโอกาส จะแวะเข้ามาเที่ยวเล่นที่ PACNET อีกนะคะ

ปล. แต่จากการเที่ยวเล่นเพลิน จนทำให้ลูกคิดไม่ได้นอนตอนบ่าย เพราะกลับบ้านช้า มีผลทำให้ลูกคิดไม่สบาย เป็นหวัดอีกแล้วค่ะ ตามฟอร์ม

Sunday, January 06, 2008

พูดจารู้เรื่องรู้ราว

ด้วยคำพูดคำจา ประโยคและภาษา การนำมาใช้ในสถานการณ์ที่เหมือนลูกคิดรู้ความหมาย (คงรู้บ้างละค่ะ) รวมไปถึงท่าทางบางอย่าง เช่น การยืนท้าวสะเอว การส่งสายตาค้อน(ขวับๆ) ย่าและผู้ใหญ่หลายๆ คน ถึงกับเอ่ยปาก ว่าลูกคิดดูรู้เรื่องพูดจาเป็นผู้ใหญ่ กว่าพี่เมฆกับพี่ปลาดาวซะอีก (ลูกคิดเป็นน้อง เพราะอายุน้อยกว่า)

"พ่อ! ลูกคิดรู้สึกว่าลูกคิดปวดหัวยังไงไม่รู้ค่ะ"

"ย่า! ลูกคิดรู้สึกว่าลูกคิดจะไม่สบาย ลูกคิดตัวร้อน เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับค่ะย่า"

ไม่แน่ใจว่านี่เป็นเรื่องดีรึเปล่านะคะ เพราะพ่อกับแม่ยังห่วงอยู่นิดๆ เกรงจะมีใครหาว่าลูกคิดเป็นเด็กแก่แดด!

Friday, January 04, 2008

"ขอโทษ" หายไปไหน

ระยะ 4-5 เดือนมานี้ ลูกคิดมักจะโดนพ่อกับแม่ รุมต่อว่าพร้อมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยบ่อยมาก แทบทุกครั้ง เวลามีเรื่องกับแม่ แม่ไปเล่าให้พ่อฟัง พ่อก็มาช่วยต่อว่าลูกคิดอีกแรง กลับกันพอมีเรื่องกับพ่อ พ่อเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็จะช่วยกันมาตำหนิลูกคิดหนักเข้าไปอีก -- ไม่มีใครโอ๋ลูกคิดเลย แง! คิดถึงยาย คิดถึงย่าจังเลยค่ะ

ลูกคิดแย่มาก ลูกคิดก้าวร้าว ลูกคิดพูดจาไม่เพราะ พูดจาไม่มีหางเสียง ลูกคิดตวาดเก่ง ลูกคิดรื้อของแล้วไม่เก็บ ลูกคิดเล่นแล้วไม่ยอมเข้าบ้าน และที่สำคัญมาก โดนบ่อยสุด ก็คือ ลูกคิดทำผิดแล้วไม่ยอมพูดคำว่า "ขอโทษ" ต้องถูกบังคับขู่เข็ญ จนน้ำตาตกอยู่นานสองนาน กว่าจะเอ่ยปากออกมาได้ แล้วไม่รู้เป็นอะไรนะคะ พูดคำว่า "ขอโทษ" ครั้งใด ต้องมาพร้อมกับน้ำตาไหลเป็นเผาเต่าทุกทีไป

พ่อกับแม่บอกว่า เมื่อก่อนลูกคิดน่ารักกว่านี้เยอะ บอกให้ขอโทษก็ไม่มีอิดออด ทำทันที ไม่เคยร้องไห้ด้วย คงเป็นเพราะว่าตอนนั้นยังเล็กไม่รับรู้ว่า คนที่ขอโทษที่คนที่ทำความผิด แต่ตอนนี้โตแล้ว รู้แล้วว่าต้องขอโทษเพราะเป็นคนทำความผิด ลูกคิดไม่อยากเป็นคนผิดนี่คะ ผิดด้วยหรือเปล่านะ?

พ่อบอกว่า ถึงจะเป็นลูกผู้หญิง แต่เมื่อทำความผิด ก็ต้องยอมรับผิดอย่างลูกผู้ชายเหมือนกัน พ่อกับแม่ไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ หรอกนะ เดี๋ยวลูกคิดเสียนิสัยไปจนโต

ลูกคิดอยากจะบอกว่าคำ "ขอโทษ" ไม่ได้หายไปไหนหรอกค่ะ เพียงแต่ลูกคิดรู้สึกแย่มากๆ เวลาที่จะพูดมันออกมา แค่นั้นเองค่ะพ่อจ๋าแม่จ๋า


ภาพประกอบ: http://www.ecomments.com